ปัญหาค่าไฟแพง ค่าไฟขึ้นทุกปี คงเป็นอะไรที่หลายๆบ้านกังวล เห็นบิลค่าไฟที ค่าแอร์พุ่งกระฉูดจนใจหายใจคว่ำ น้องบุรีรัมย์น่าอยู่ เลยเห็นว่าช่วงนี้กระแส “แผงโซล่าเซลล์” (Solar Cell) หรือหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์กำลังมาแรงแซงทางโค้งสุดๆ
แต่พอจะติดจริง คำถามก็ผุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด... "มันคุ้มจริงไหม?", "ต้องกำเงินไปเท่าไหร่?", "ดูแลรักษายากไหม?", "แล้วอีกกี่ปีถึงจะได้ทุนคืน?" วันนี้ น้องบุรีรัมย์น่าอยู่จะขออาสาพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกทุกซอกทุกมุมแบบไม่มีกั๊ก ตั้งแต่เริ่มสำรวจบ้านไปจนถึงคำนวณเงินในกระเป๋า รับรองว่าอ่านบทความนี้จบ เพื่อนๆจะตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าควรติดแผงโซล่าเซลล์ไหม!
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของระบบแผงโซล่าเซลล์ มีอะไรบ้าง?
หลายคนเข้าใจผิดว่ากำเงินไปซื้อแค่ "แผงโซล่าเซลล์" ก็จบ แต่จริงๆ แล้วระบบโซล่าเซลล์คือ "โรงไฟฟ้าขนาดย่อม" บนหลังคาบ้านเราค่ะ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องทำงานร่วมกัน น้องบุรีรัมย์น่าอยู่ ขอแจกแจงรายละเอียดแบบเจาะลึก เพื่อให้เพื่อนๆ ประเมินงบได้ไม่แบบบานปลาย

1. ราคาแผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel): เลือกเกรดไหน งบต่างกันอย่างไร
แผงโซล่าเซลล์เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ผลิตไฟ มีหลายแบบ หลายกำลังวัตต์ ทำให้ราคาต่างกันไปตามคุณภาพ การรับประกัน และเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งแผงที่ดี จะทนแดด ทนฝน ใช้งานได้หลายปีแบบสบายใจ โดยปกติราคาจะปรับตามค่าเงินและเทรนด์ตลาดพลังงาน โดยหลักที่ควรทำความรู้จัก คือ
ชนิดของแผง (Mono vs Poly)
- Monocrystalline (โมโนคริสตัลไลน์): แผ่นสีดำเข้ม สวยงาม ทำจากซีลิคอนที่มีความบริสุทธิ์สูง ทำให้ผลิตไฟได้ดีที่สุดแม้ในพื้นที่จำกัด หรือแดดไม่จัดมาก เหมาะกับอากาศเมืองไทยสุดๆ ราคาจะสูงกว่านิดหน่อยแต่นิยมมากที่สุด
- Polycrystalline (โพลีคริสตัลไลน์): แผ่นสีน้ำเงินเงาๆ ทำจากซิลิคอน ยิ่งร้อนยิ่งสะสมพลังงานได้เยอะแต่ผลิตไฟได้น้อยกว่าในพื้นที่เท่ากัน ปัจจุบันเริ่มไม่ค่อยนิยม
เกรดของแผง (Tier 1 คืออะไร?)
เวลาช่างเสนอราคา ให้ถามหาแผง Tier 1 เสมอนะคะ! มันคือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต (โดย Bloomberg New Energy Financeg หรือ BloombergNEF )
- แผง Tier 1: มาตรฐานโลก ประสิทธิภาพสูง การรับประกันไฟออก (Performance Warranty) มีเสถียรภาพทางการงินสูง และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินต่อเนื่อง มีบริการหลังการขายและรับประกันผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าประมาณ 10-25 ปี
- อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจติดตั้ง ควรประเมิณประสิทธิภาพของแผงโซล่าเซลล์ ดูความน่าเชื่อถือขิงบริษัทที่นำเข้า และบริการหลังการขายของผู้นำเข้าเพื่อ กรณีมีปัญหาการใช้ต้องการเคลมประกัน จะได้สามารถรับการแก้ไขได้โดยไม่ต้องเสียเงินซ้ำซ้อน

2. ค่าอินเวอร์เตอร์ (Inverter): หัวใจสำคัญที่กำหนดประสิทธิภาพระบบ
ถ้าแผงคือเครื่องยนต์ อินเวอร์เตอร์ก็คือสมองกลค่ะ หน้าที่ของมันคือ เป็นอุปกรณ์แปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่ผลิตจากแผง ให้เป็นกระแสสลับ (AC) เพื่อใช้กับเครื่องใช้ฟฟ้า เช่น ตู้เย็น ทีวี แอร์ ในบ้านเรา
สิ่งควรรู้คืออินเวอร์เตอร์บางรุ่นทำงานดีในอุณหภูมิสูง ซึ่งเหมาะกับอากาศประเทศไทย ส่วนบางรุ่นอาจต้องเพิ่มค่าระบายความร้อน เราจึงควรเช็กตรงนี้ให้ดี เพราะมันกระทบเรื่องคุ้มค่าโดยตรง โดยการติดตัว Inverter
- Micro Inverter: เป็นอุปกรณ์ที่ติดแยกย่อยตามแผงได้เลย ทำงานได้กับหลายประเภทแผง และขนาดต่างกัน ประหยัดพื้นที่ ทำงานอิสระ ข้อดีคือถ้าแผงไหนโดนเงาบัง แผงอื่นก็ยังทำงานได้เต็มที่ หากมีปัญหาก็สามรถเปลี่ยนเฉพาะแผงได้ ไม่ต้องเปลี่ยนทุกแผง ปลอดภัยสูงไฟไม่วิ่งแรงดันสูงบนหลังคา แต่ราคาจะสูงกว่าแบบอื่น นิยมใช้กับบ้านพักอาศัย
- String Inverter: อีกทางเลือกยอดนิยม แต่ตัวนี้จะใช้หลักการทำงานเชื่อมต่อแผงหลายๆแผงผ่านสาย (String) ติดตัวเดียวรวมศูนย์ ข้อดีคือดูแลรักษาง่าย บำรุงรักษาง่าย ราคาประหยัดกว่า เหมาะกับระบบขนาดใหญ่ หลังคาโล่งๆ ไม่มีอะไรบังแดด เช่นโรงงาน แต่ข้อเสียคือ ระบุปัญหาได้ยาก แรงดันไฟฟ้าสูงเสี่ยงต่อการไฟไหม้ หากบำรุงรักษาไม่ดีหรือละเลยการดูแล

3. ค่าสำรวจและเตรียมโครงสร้างหลังคา: ต้องเสริมเหล็กหรือเปลี่ยนกระเบื้องไหม?
ข้อนี้คือ "งบบานปลาย" ที่หลายคนลืมคิด! บางบ้านหลังคาแข็งแรงอยู่แล้ว ติดระบบได้เลย แต่บางบ้านต้องเสริมจุดรับน้ำหนักใหม่ น้องขอบอกว่าตรงนี้สำคัญมาก เพราะน้ำหนักรวมของแผงและรางติดตั้งไม่น้อย อาจส่งผลต่อโครงหลังคาที่ไม่แข็งแรง
คำแนะนำคือให้ช่างตรวจโครงสร้างจริงก่อนติดตั้ง ถ้าเสริมก่อนตั้งแต่ตอนนี้ จะป้องกันปัญหาหลังคาแอ่นหรือรั่วในอนาคตได้
- หลังคาลอนคู่/ซีแพคโมเนีย: ถ้าบ้านอายุเกิน 10-15 ปี กระเบื้องอาจจะกรอบแตกได้ ช่างอาจแนะนำให้เปลี่ยนกระเบื้องแถวที่จะติดแผงใหม่ หรือทำทางเดิน (Walkway) เพื่อเซอร์วิสหลังคาในอนาคต
- หลังคา Metal Sheet: ติดตั้งง่ายสุด เจาะยึดกับลอนได้เลย หรือใช้คลิปล็อกแบบไม่เจาะ (Klip-lok) ปัญหารั่วซึมน้อย
- โครงสร้างเหล็ก: ถ้าโครงหลังคาเดิมแอ่นหรือเป็นไม้ อาจต้องเสริมเหล็กกล่องเพิ่มความแข็งแรง

4. ค่าอุปกรณ์ติดตั้ง (Mounting) และระบบไฟฟ้า
อย่ามองข้ามของชิ้นเล็กๆ นะคะ! ความปลอดภัยอยู่ที่ตรงนี้ ระบบแผงโซล่าเซลล์ต้องใช้สายไฟเฉพาะ เบรกเกอร์กันไฟย้อน และรางติดตั้งกันสนิม ซึ่งอุปกรณ์คุณภาพดีจะช่วยให้อายุการใช้งานยาวขึ้น
ข้อควรจำคือไม่ควรลดต้นทุนในส่วนนี้ เพราะของราคาสูง ที่มีคุณภาพมาตรฐาน จะช่วยลดปัญหากวนใจในระยะยาว เช่น ไฟย้อน ไฟรั่ว หรือสายชำรุดจากแดดแรง ๆ
- Mounting (รางและตัวยึด): ต้องเป็นอลูมิเนียมเกรดดีหรือสแตนเลส เพื่อไม่ให้เกิดสนิมตลอด 20 ปี
- สายไฟ PV (Solar Cable): ต้องเป็นสายเฉพาะที่ทนแดดทนฝน (ฉนวน 2 ชั้น) ห้ามใช้สายไฟบ้านธรรมดาเดินบนหลังคาเด็ดขาด!
- ตู้ Combiner Box: ตู้รวมไฟ ต้องมีเบรกเกอร์ DC, AC และกันฟ้าผ่า (Surge Protection) เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

5. ค่าแรงติดตั้ง ค่าดำเนินการขออนุญาต และการรับประกัน
ค่าแรงติดตั้งขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทีมช่างและความซับซ้อนของพื้นที่ น้องบุรีรัมย์น่าอยู่ขอแนะนำว่าให้เลือกร้านที่มีประกันหลังติดตั้งอย่างน้อย 1–2 ปี จะช่วยให้อุ่นใจเพราะถ้ามีปัญหาจะได้เรียกช่างมาดูได้ทันที และในหลายเจ้ามีบริการตรวจเช็กประจำปีด้วย ซึ่งจะช่วยยืดอายุระบบได้ดีมาก โดยเฉพาะในพื้นที่แดดจัดแบบประเทศไทย
- ค่าขออนุญาต: การติด Solar Rooftop ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องขอ 3 หน่วยงาน
ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น (เทศบาล/อบต.), กกพ. (คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน) และ MEA/PEA ซึ่งขั้นตอนนี้เอกสารเยอะมาก แนะนำให้จ้างบริษัทที่รวมบริการนี้ไปเลย (ค่าดำเนินการประมาณ 5,000 - 15,000 บาท แล้วแต่แพ็กเกจ)
- ประกันงานติดตั้ง: ควรมีอย่างน้อย 1-2 ปี (ถ้าน้ำรั่วลงฝ้าบริษัทต้องมารับผิดชอบ)

ติดแผงโซล่าเซลล์ลดค่าไฟได้กี่เปอร์เซ็นต์? (เจาะลึกพฤติกรรม)
น้องบุรีรัมย์น่าอยู่ขอฟันธงเลยว่า "จะลดเยอะหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมคนในบ้านล้วนๆ" ค่ะ ไม่ใช่ว่าติดปุ๊บค่าไฟจะหายวูบ ตอบตรงๆ ว่าแล้วแต่การใช้ไฟของแต่ละบ้าน แต่ถ้ารู้ข้อมูลพื้นฐาน รับรองว่าคำนวณเองได้ไม่ยากเลย ถ้าพร้อมแล้วเลื่อนลงไปคำนวณพร้อมกันได้เลย!
1.เช็กบิลค่าไฟย้อนหลัง: บ้านเราใช้ไฟเฉลี่ยกี่หน่วยต่อเดือน?
หยิบบิลค่าไฟมาดูช่อง "จำนวนหน่วยที่ใช้" (Unit) เลยค่ะ ก่อนคิดจะลดค่าไฟ เราต้องรู้ก่อนว่าบ้านเราใช้ไฟแค่ไหน ข้อมูลตรงนี้สำคัญมาก เพราะมันช่วยกำหนดขนาดแผงที่จะติดตั้ง
บ้านที่ใช้ไฟกลางวันเยอะ เช่น เปิดแอร์ เปิดคอม หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าหนักๆ มักลดค่าไฟได้เยอะหลังติดตั้งแผงโซล่าเซลล์
- กลุ่มใช้น้อย (ต่ำกว่า 300 หน่วย): ค่าไฟ 1,xxx บาท -> อาจจะยังไม่คุ้มติด หรือรอติดระบบเล็กๆ ในอนาคต
- กลุ่มปานกลาง (300-600 หน่วย): ค่าไฟ 2,000-3,500 บาท -> เริ่มคุ้มแล้ว แนะนำระบบ 3kW
- กลุ่มใช้หนัก (700 หน่วยขึ้นไป): ค่าไฟ 4,000++ บาท -> คุ้มมาก! เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเลย
2.เลือกขนาดระบบ (kW) อย่างไร ให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้ไฟ
การเลือกขนาด (Sizing) สำคัญมาก ถ้าติดเกินความจำเป็น = จ่ายแพงฟรี ถ้าติดน้อยไป = ลดค่าไฟได้ไม่คุ้ม อย่างบ้านที่ใช้ไฟระดับ 300–500 หน่วยต่อเดือน มักเหมาะกับระบบ 3–5 kW ในขณะที่บ้านใหญ่หรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหนัก ๆ อาจต้อง 8–10 kW ขึ้นไป สิ่งที่น้องบุรีรัมย์น่าอยู่ อยากฝากคือ “ไม่ต้องติดใหญ่เกิน” เอาให้เหมาะกับการใช้ไฟจริง คุ้มค่าที่สุดค่ะ
1.ระบบ 3 kW (1 Phase): ผลิตไฟได้เฉลี่ย 12-14 หน่วย/วัน เหมาะกับ: บ้านที่มีตู้เย็น, ทีวี, พัดลม และเปิดแอร์ 9,000-12,000 BTU 1-2 ตัว ช่วงกลางวัน
2.ระบบ 5 kW (1 Phase/3 Phase): ผลิตไฟได้เฉลี่ย 20-25 หน่วย/วัน (ขนาดนิยมขายดีสุด) เหมาะกับ: บ้านที่เปิดแอร์ 2-3 ตัวพร้อมกัน, มีผู้สูงอายุ/เด็กอยู่บ้าน, ทำงาน WFH, หรือมีบ่อปลาที่เปิดปั๊มน้ำตลอดวัน
3.ระบบ 10 kW (3 Phase): ผลิตไฟได้เฉลี่ย 40-50 หน่วย/วัน เหมาะกับ: บ้านหลังใหญ่, โฮมออฟฟิศ, ร้านค้า, คาเฟ่, หรือบ้านที่มีรถ EV ชาร์จตอนกลางวัน
3.แจกสูตรคำนวณลดค่าไฟแบบง่ายๆ ที่เจ้าของบ้านทำเองได้
สูตรนี้ใช้ประเมินคร่าวๆ ก่อนคุยกับเซลล์นะคะ :
(ขนาดระบบ kW) x (ชั่วโมงแดด 4.5 ชม.) x (ค่าไฟเฉลี่ย 4.5 บาท) x 30 วัน
ตัวอย่าง: ติดระบบ 5 kW
- วันนึงผลิตไฟได้ : 5 kW x 4.5 ชั่วโมง = 22.5 หน่วย/วัน (เท่ากับว่าเราเปิดแอร์ 12,000 BTU ได้ประมาณ 20 ชั่วโมงเลยนะ!)
- คิดเป็นเงินต่อวัน : 22.5 หน่วย x 4.5 บาท ~ 101 บาท/วัน
- ลดค่าไฟต่อเดือน : 101 บาท x 30 วัน ~ 3,030 บาท/เดือน
- ลดค่าไฟต่อปี : 3,030 บาท x 12 เดือน ~ 36,360 บาท/ปี
ยกตัวอย่างเคสจริง: บ้านพักอาศัย vs โฮมออฟฟิศ ติดกี่ kW ถึงคุ้ม?
- Case A: บ้านพักผ่อน (พ่อแม่ทำงานลูกไปเรียน): กลางวันไม่มีคนอยู่ หรืออยู่น้อย มีแค่ตู้เย็นทำงาน -> ไม่แนะนำให้ติด หรือถ้าติดต้องเข้าร่วมโครงการขายไฟคืนให้การไฟฟ้า ถึงจะพอถูไถ
- Case B: ฟรีแลนซ์/ร้านออนไลน์ (อยู่บ้านตลอด): เปิดแอร์ห้องทำงาน 1 ตัว คอมพิวเตอร์ ไฟส่องสว่าง -> ติด 3kW กำลังดี คืนทุนไว
- Case C: ครอบครัวใหญ่ (มีคนแก่/เด็ก): เปิดแอร์ห้องนั่งเล่น เปิดทีวี ซักผ้าตอนกลางวัน -> ติด 5kW คุ้มที่สุด ใช้ไฟแดดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

บ้านแบบไหนควรติดแผงโซล่าเซลล์? (Checklist เช็กความพร้อม)
ก่อนจะควักเงินแสนติดแผงโซล่าเซลล์ น้องบุรีรัมย์น่าอยู่อยากให้เพื่อนๆ เดินสำรวจบ้านตัวเองตามหัวข้อนี้ก่อนค่ะ ถ้าผ่านทุกข้อ ลุยโลด!
1. ทิศของหลังคา: ทิศใต้/ทิศตะวันตก รับแดดดีที่สุดจริงไหม?
เมืองไทยพระอาทิตย์จะอ้อมทางฝั่งทิศใต้
- ทิศใต้: The Best! รับแดดได้ยาวนานตั้งแต่สายๆ ยันบ่ายแก่ๆ ได้พลังงานรวมสูงสุด
- ทิศตะวันตก: ดีรองลงมา รับแดดแรงช่วงบ่าย เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟหนักช่วงบ่าย (เช่น กลับมารีดผ้า เปิดแอร์เย็นๆ ก่อนนอน)
- ทิศตะวันออก: รับแดดเช้า บ่ายร่ม ผลิตไฟได้น้อยกว่าทิศอื่น
- ทิศเหนือ: ห้ามติด! (ยกเว้นความจำเป็นจริงๆ) เพราะรับแดดน้อยที่สุด ไม่คุ้มลงทุนค่ะ
2. สภาพแวดล้อม: บ้านโดนเงาตึกบัง หรือต้นไม้ใหญ่ทึบ ควรติดไหม?
เรื่อง "เงาบัง" (Shading) คือศัตรูตัวฉกาจของโซล่าเซลล์ค่ะ
- ลองสังเกตหลังคาบ้านตัวเองช่วง 9 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมง ถ้ามีเงาตึกข้างๆ หรือเงาต้นไม้พาดผ่านแผงแม้แต่นิดเดียว ประสิทธิภาพทั้งระบบอาจลดฮวบ
- ทางแก้: ตัดแต่งกิ่งไม้ให้โล่ง หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ต้องใช้ Micro Inverter หรือ Power Optimizer เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไปค่ะ
3. เป้าหมายการติด: เน้นลดรายจ่ายระยะยาว vs อยากสำรองไฟตอนดับ
ต้องแยกให้ออกนะคะ โซล่าเซลล์มี 2 ระบบหลักๆ ที่คนสับสน
- On-grid (ไม่มีแบต): เน้นลดค่าไฟ ถูกกว่า คืนทุนไว แต่ "ไฟดับ แผงดับด้วย" (เพื่อความปลอดภัยของช่างไฟ)
- Hybrid (มีแบต): เน้นความมั่นคง ไฟดับบ้านเราไม่ดับ (ดึงแบตมาใช้) แต่ราคาสูงกว่าเท่าตัว และแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าแผง (5-10 ปีต้องเปลี่ยน) ถ้าเน้นคุ้มเงิน ระบบ On-grid ชนะขาดค่ะ

คำนวณจุดคุ้มทุน (ROI) แบบเข้าใจง่าย
การติดโซล่าเซลล์ ให้มองเหมือนการ "ซื้อกองทุน" ที่ปันผลเป็นค่าไฟที่ลดลงค่ะ มาดูกันว่าผลตอบแทนมันน่าสนใจแค่ไหน
ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยของระบบ 3kW, 5kW และ 10kW
อ้างอิงราคาตลาดประมาณการณ์ปี 2024-2025 (รวมติดตั้ง):
- ระบบ 3 kW (ราคา ~90,000 - 120,000 บ.): ประหยัดปีละ ~18,000 บ. -> คืนทุน 5 - 6.5 ปี
- ระบบ 5 kW (ราคา ~150,000 - 190,000 บ.): ประหยัดปีละ ~36,000 บ. -> คืนทุน 4.5 - 5.5 ปี (จุดที่คุ้มที่สุด)
- ระบบ 10 kW (ราคา ~260,000 - 320,000 บ.): ประหยัดปีละ ~72,000 บ. -> คืนทุน 4 - 5 ปี
กำไรหลังคืนทุน: ติดครั้งเดียว ใช้ยาว 25 ปี ประหยัดเงินได้เท่าไหร่?
นี่คือจุดพีคค่ะ! หลังจากปีที่ 5 หรือ 6 เป็นต้นไป คือช่วง "กำไรล้วนๆ" (Pure Profit) สมมติระบบอยู่ได้ 25 ปี หักระยะคืนทุน 5 ปี เหลือเวลาใช้ฟรี 20 ปี
- กำไรจากระบบ 5kW: 36,000 บาท x 20 ปี = 720,000 บาท!
- (นี่ยังไม่รวมกรณีค่าไฟขึ้นราคา (ค่า Ft) ในอนาคตนะ ถ้าค่าไฟแพงขึ้น เรายิ่งคุ้มเร็วขึ้นไปอีก)

บทสรุป
การติด แผงโซล่าเซลล์ เป็นการลงทุนที่ "คุ้มค่ามาก" สำหรับบ้านที่มีคนอยู่ช่วงกลางวัน ยิ่งแดดในประเทศแถบบ้านเราแรงขนาดนี้ ยิ่งคืนทุนไว! เปรียบเหมือนเราจ่ายเงินก้อนซื้อโรงไฟฟ้ามาตั้งบนหลังคา แล้วเก็บกินค่าไฟฟรีๆ ไปยาวๆ อีก 20 ปี
แต่ก่อนติดก็อย่าลืมเช็กความพร้อมของหลังคา และเลือกทีมช่างที่ไว้ใจได้ด้วยนะคะ จะได้ไม่มีปัญหากวนใจทีหลัง ส่วนใครที่กำลังมองหา บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, คอนโด หรือ ทาวน์โฮม หลังใหม่ ไว้สร้างบ้านในฝันพร้อมติดโซล่าเซลล์ แวะมาค้นหาที่เว็บไซต์บุรีรัมย์น่าอยู่ได้เลย รับรองว่ามีให้เลือกครบ ถูกใจแน่นอนจ้า!
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q1: ติดโซล่าเซลล์แล้ว กลางคืนยังต้องจ่ายค่าไฟไหม?
A: ต้องจ่ายค่ะ! (สำหรับระบบ On-grid ทั่วไป) เพราะกลางคืนไม่มีแดด แผงหยุดทำงาน บ้านจะดึงไฟจากการไฟฟ้ามาใช้โดยอัตโนมัติผ่านมิเตอร์ ดังนั้นค่าไฟจะไม่เป็น 0 บาท แต่จะลดลงจากยอดการใช้ช่วงกลางวันค่ะ
Q2: เจาะหลังคาติดแผงแล้ว หลังคาจะรั่วซึมไหม?
A: ความเสี่ยงมีค่ะ แต่ป้องกันได้ ถ้าใช้ทีมช่างมืออาชีพ เขาจะใช้อุปกรณ์ยึด (Solar Mounting) ที่ออกแบบมาเฉพาะ มียางกันซึม และมีการยาแนวซิลิโคนทับอีกชั้น ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันพัฒนาไปไกลมาก ปัญหารั่วน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเยอะค่ะ
Q3: ขายไฟคืนการไฟฟ้า (PEA/MEA) ได้จริงไหม ขั้นตอนยุ่งยากหรือเปล่า?
A: ได้จริงค่ะ! โครงการ "โซล่าร์ภาคประชาชน" ปัจจุบันรับซื้อที่หน่วยละ 2.20 บาท ระยะเวลาสัญญา 10 ปี ขั้นตอนค่อนข้างจุกจิกเรื่องเอกสาร แต่บริษัทติดตั้งส่วนใหญ่จะมีบริการ "One Stop Service" วิ่งยื่นเรื่องให้เราจนจบกระบวนการ เปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบดิจิทัลให้เสร็จสรรพ เราแค่เซ็นชื่ออย่างเดียวค่ะ
Q4: แผงโซล่าเซลล์ต้องทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน?
A: แนะนำให้ล้าง ทุก 3-6 เดือน ค่ะ โดยเฉพาะหากอยู่ในจังหวัดที่ฝุ่นเยอะ หรือช่วงหน้าแล้งที่ฝนไม่ตก ฝุ่นจะเกาะหน้าแผงทำให้รับแสงได้น้อยลง ผลิตไฟได้น้อยลง 10-15% วิธีล้างก็แค่น้ำฉีดแล้วใช้ม็อบถูเบาๆ (ห้ามใช้น้ำยาแรงๆ) หรือจ้างช่างมาล้างก็ได้ค่ะ ครั้งละ 500-1,500 บาท แล้วแต่ความยากง่าย
Q5: ระบบ 3kW, 5kW, 10kW เหมาะกับบ้านที่มีแอร์กี่ตัว?
A: เทียบง่ายๆ แบบนี้นะคะ
- 3kW: รับมือแอร์ 12,000 BTU ได้ 2 ตัว (เปิดพร้อมกัน)
- 5kW: รับมือแอร์ 12,000 BTU ได้ 4 ตัว หรือ แอร์ใหญ่ 24,000 BTU ได้ 2 ตัว
- 10kW: จัดเต็มได้ทั้งหลัง แอร์ 5-6 ตัว หรือแอร์ 4 ทิศทาง
บทความที่น่าสนใจ
- 7 ไอเดียสีห้องนอน สีไหนช่วยผ่อนคลาย สีไหนเสริมดวง 2026!
- จดเลย! วิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน และกำหนดงวดงานอย่างปลอดภัย ไม่ให้โดนโกง
- หินทราย 101 : คู่มือเลือกใช้งาน แต่งบ้านให้อบอุ่นและกลมกลืนธรรมชาติ
- ทำความรู้จัก หินแกรนิต: วัสดุตกแต่งที่แข็งแรง สวยงาม และยั่งยืน