เหล็ก I-Beam หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Wide Flange Beam (WF Beam) เป็นเหล็กรูปพรรณที่มีหน้าตัดคล้ายตัว “I” ซึ่งออกแบบให้รองรับแรงกดในแนวดิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างเหล็กรูปตัว I นี้เหมาะสำหรับงานก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงระดับกลาง เช่น โครงหลังคา คานเสาโครงโกดัง หรือพื้นชั้นล่างของอาคาร

เหล็กชนิดนี้เป็นทางเลือกยอดนิยมในงานก่อสร้างทั่วไป ด้วยคุณสมบัติน้ำหนักเบากว่าเหล็ก H-Beam แต่ยังคงความแข็งแรงเพียงพอสำหรับโครงสร้างระดับกลางถึงเบา และถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับงานโครงสร้างเบาในราคาที่ย่อมเยา


คุณสมบัติเด่นของเหล็ก I-Beam

คุณสมบัติเด่นของเหล็ก I-Beam

เหล็ก I-Beam เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะการรองรับแรงกดในแนวดิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม จึงเหมาะสำหรับใช้งานเป็นคานหรือเสาในโครงสร้างต่าง ๆ อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก H-Beam ทำให้การขนย้ายและติดตั้งทำได้ง่าย ประหยัดเวลาและต้นทุนได้มาก นอกจากนี้เหล็ก I-Beam ยังมีราคาย่อมเยา จึงเหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมากนัก เช่น งานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โรงงาน โกดัง และงานต่อเติมทั่วไป ด้วยความหลากหลายในการใช้งานและต้นทุนที่คุ้มค่า เหล็ก I-Beam จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในวงการก่อสร้าง

  • รองรับแรงกดแนวดิ่งได้ดี เหมาะสำหรับการใช้งานเป็นคานหรือเสา
  • น้ำหนักเบากว่า H-Beam เคลื่อนย้ายและติดตั้งง่าย ประหยัดต้นทุน
  • ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
  • ใช้งานหลากหลาย ใช้ในโครงสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โรงงาน โกดัง หรืองานต่อเติม

I-Beam ตัวเลือกที่ใช่สำหรับเหล็กโครงสร้างเบา

ไม่ใช่ทุกงานโครงสร้างจะต้องใช้เหล็กหนักหรือแพงเสมอไป ถ้าคุณกำลังสร้างบ้าน โกดังขนาดเล็ก หรือต่อเติมโครงหลังคาใหม่ เหล็ก I-Beam อาจตอบโจทย์คุณได้มากกว่า เพราะติดตั้งง่าย น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก และประหยัดต้นทุน ไม่ต้องใช้เครื่องจักรหนักในการติดตั้ง และยังหาซื้อได้ง่ายในร้านวัสดุก่อสร้างทั่วไป


การใช้งานของเหล็ก I-Beam

การใช้งานของเหล็ก I-Beam

เหล็ก I-Beam นิยมใช้ในงานโครงสร้างหลากหลายประเภท เช่น โครงหลังคาและคานรับน้ำหนักที่ต้องการความแข็งแรงแนวดิ่ง โครงสร้างอาคารชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ต้องการวัสดุที่ประหยัดและติดตั้งง่าย นอกจากนี้ยังเหมาะกับการสร้างโรงเรือนเกษตร โกดังสินค้า หรือพื้นที่เก็บของที่ต้องการโครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน รวมถึงงานต่อเติมอาคารขนาดเล็กถึงกลาง ที่ต้องการวัสดุที่รองรับน้ำหนักได้ดีและมีต้นทุนคุ้มค่า เหล็ก I-Beam จึงตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนทั้งในด้านความแข็งแรงและความประหยัด


วิธีเลือกซื้อเหล็ก I-Beam ให้เหมาะกับงาน

วิธีเลือกซื้อเหล็ก I-Beam ให้เหมาะกับงาน

การเลือกซื้อเหล็ก I-Beam ให้เหมาะกับงานควรเริ่มจากการเลือกขนาดที่เหมาะสมกับความยาวและน้ำหนักที่โครงสร้างต้องการ พร้อมทั้งตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ เช่น มอก. หรือ ASTM เพื่อให้มั่นใจในความแข็งแรงและความปลอดภัย นอกจากนี้ควรพิจารณาเกรดเหล็ก เช่น SS400 หรือ SM490 ตามความเหมาะสมของงานเป้าหมาย รวมถึงการเปรียบเทียบราคาต่อกิโลกรัมหรือเมตรจากหลายแหล่งเพื่อความคุ้มค่า และเลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีใบรับรองมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับเหล็กคุณภาพดีสำหรับโครงการของคุณ


ข้อดี-ข้อเสียของเหล็ก H-Beam

ข้อดีข้อเสีย
รับน้ำหนักได้ดีในแนวตั้งไม่เหมาะกับแรงบิดหรือแรงด้านข้าง
น้ำหนักเบากว่า H-Beamความแข็งแรงโดยรวมสู้ H-Beam ไม่ได้
เหมาะกับโครงสร้างที่ต้องการระยะยาวมีพื้นที่สัมผัสน้อย อาจเชื่อมติดยากกว่า
ราคาถูกกว่า H-Beam โดยเฉลี่ยไม่เหมาะกับงานโครงสร้างหนักมาก

ราคาเหล็ก I-Beam โดยประมาณ

ราคาของเหล็ก I-Beam อยู่ในช่วง 25–40 บาทต่อกิโลกรัม โดยขึ้นอยู่กับขนาด ความยาว และเกรดเหล็ก ทั้งนี้ราคามีการเปลี่ยนแปลงตามตลาดเหล็กและต้นทุนโลจิสติกส์


สรุป

เหล็ก I-Beam คือเหล็กรูปพรรณหน้าตัดคล้ายตัว "I" เด่นที่รองรับแรงแนวดิ่งได้ดี เหมาะกับโครงสร้างเบา-ปานกลาง เช่น โครงหลังคา หรือโกดังเด้อ! มีน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า H-Beam ทำให้ประหยัดวัสดุ เคลื่อนย้ายง่าย และติดตั้งสะดวก. แม้จะรับแรงด้านข้างน้อยกว่า แต่หากใช้ถูกประเภทงาน ก็คุ้มค่าทั้งประสิทธิภาพและงบประมาณ. มีหลายขนาดตามมาตรฐาน ราคาประมาณ 25-40 บาท/กก. การเลือกใช้ให้เหมาะสมจะช่วยให้งานก่อสร้างของคุณแข็งแรง ปลอดภัย และประหยัดต้นทุน

บทความที่คุณอาจสนใจ


สำหรับใครที่กำลังมองหาซื้อบ้านสุรินทร์ หรือหอพักสุรินทร์ สามารถเข้ามาเลือกชมบ้าน ที่ดิน หอพักและบริษัทรับสร้างบ้านได้ที่เว็บไซต์สุรินทร์น่าอยู่ นอกจากนี้พวกเรายังมีบทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับจังหวัดสุรินทร์อีกมากมาย เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่เที่ยวสุรินทร์ และสาระน่ารู้ต่างๆมาฝากเพื่อนๆทุกคนอีกด้วยนะ


แชร์บทความ

แชร์บทความนี้