การก่อสร้างบ้านเดี่ยว หรืออาคารทุกประเภท สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฐานราก เพราะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักทั้งหมดลงสู่ชั้นดิน หากเสาเข็มเจาะเกิดปัญหาแม้เพียงหลุมเดียว อาจทำให้บ้านทรุดเอียงในอนาคตได้ การเข้าใจปัญหาที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีแก้ไขอย่างมืออาชีพ จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของบ้านทุกคนควรรู้ก่อนเริ่มงานฐานราก เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจต้องซ่อมหนักในอนาคต
เสาเข็มเจาะคืออะไร และทำไมต้องระวังขั้นตอนก่อสร้าง
เสาเข็มเจาะ คือเสาเข็มที่ขุดหรือเจาะหลุมให้ถึงระดับความลึกตามแบบ แล้วเทคอนกรีตลงไปพร้อมเหล็กเสริม เป็นระบบที่สามารถควบคุมตำแหน่งและขนาดได้ดี แต่ก็เสี่ยงเกิดปัญหาได้ง่ายกว่าระบบตีเข็มถ้าควบคุมงานไม่ดี เพราะทุกขั้นตอนตั้งแต่การตั้งเครื่อง เจาะดิน ใส่เหล็ก ไปจนเทคอนกรีต ต้องแม่นยำและสอดคล้องกันเสมอ

ความสำคัญของความลึกและความตรง
เสาเข็มที่ลึกถึงชั้นดินแข็ง และตั้งตรงตามแนวดิ่ง จะสามารถรับน้ำหนักบ้านได้เต็มประสิทธิภาพ หากความลึกไม่ถึงหรือเอียง แม้เพียงองศาเดียว ก็อาจทำให้รับน้ำหนักไม่สมดุล จนเกิดปัญหาทรุดไม่เท่ากันในอนาคต
เสาเข็มเจาะกับสภาพดินแต่ละพื้นที่
ดินในแต่ละจังหวัดมีความแข็งแรงต่างกัน เช่น กทม. ดินอ่อนมากต้องใช้เข็มยาว 18–23 เมตร ในขณะที่ต่างจังหวัดบางแห่งอาจใช้แค่ 10–15 เมตร หากสำรวจดินไม่ดีตั้งแต่แรก โอกาสเจาะไม่ถึงชั้นดินแข็งย่อมสูงขึ้นและเสี่ยงซ่อมหนักในอนาคต
วิธีการ ขุดสำรวจชั้นดิน (Soil Investigation) ก่อนเจาะเสาเข็ม
เป็นขั้นตอนสำคัญมากเพื่อรู้ว่าดินแข็งอยู่ระดับไหน รับน้ำหนักได้เท่าไหร่ และควรใช้เสาเข็มประเภทใด ขั้นตอนหลักมีดังนี้

1. ขุดหรือเจาะสำรวจดิน (Boring Test – การเจาะดินสำรวจ)
เป็นวิธีมาตรฐานที่สุดใช้เครื่องเจาะลงเป็นระดับ ๆ ลึกตั้งแต่ 10–30 เมตร (ตามประเภทโครงการ) ทุกระยะ 1–1.5 ม. จะมีการเก็บตัวอย่างดิน ส่งห้องแล็บ ใช้วิธี Standard Penetration Test (SPT) เพื่อตรวจค่าความแน่นของดิน (ค่า N-value) ทำให้รู้ว่ามีดินอ่อน ดินแข็ง ชั้นทราย ชั้นดินเหนียว อยู่ตรงไหน จากข้อมูลนี้วิศวกรจะกำหนดความยาวเสาเข็มที่เหมาะสม (เช่น 18–24 ม.)
2. การขุดหลุมสำรวจ (Test Pit)
เหมาะกับงานบ้านขนาดเล็ก–กลาง ขุดหลุมลึก 1–3 เมตร เพื่อดูชั้นดินด้านบนด้วยสายตาตรวจดูระดับน้ำใต้ดินเช็กสภาพดินบริเวณผิว เช่น ดินถมเก่า ดินอัดแน่นไม่ดีใช้ประกอบการออกแบบฐานราก แต่ไม่ละเอียดเท่า Boring Test
3. การทดสอบดินภาคสนามอื่น ๆ
ช่วยเสริมความแม่นยำก่อนเลือกเสาเข็ม
● Plate Load Test ทดสอบกำลังรับน้ำหนักของดินโดยใช้แผ่นเหล็กกดลงไปทำให้รู้ว่า ฐานรากตื้นหรือเข็มสั้นรับน้ำหนักพอหรือไม่
● Cone Penetration Test (CPT) ใช้หัวโคนกดลงดินแบบต่อเนื่อง วัดแรงต้านดิน รู้ระดับชั้นดินได้ละเอียดกว่าวิธี SPT แต่ราคาแพงกว่า
4. สรุปการประเมินก่อนเจาะเสาเข็ม
บ้านทั่วไปควร เจาะดินสำรวจอย่างน้อย 1–2 จุด อาคารใหญ่ควรสำรวจ ทุก 500–1,000 ตร.ม. ข้อมูลที่ได้จะบอก
- ความลึกชั้นดินแข็ง
- ชนิดเสาเข็มที่เหมาะสม (ตอก / เจาะ / ไมโครไพล์)
- ภาระวิบาก เช่น ดินอ่อนมาก–ต้องเพิ่มความลึกเสาเข็ม
ปัญหาเสาเข็มเจาะ “เอียง” เกิดจากอะไร?
เสาเข็มเอียงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย และส่งผลต่อกำลังรับน้ำหนักโดยตรง ทำให้เสาเข็มตัวอื่นรับภาระมากเกินไป

เครื่องมือไม่แม่นยำ หรือใช้สามขาไม่มั่นคง
หากสามขาหรือขาตั้งเครื่องเจาะไม่มั่นคง เครื่องจะสั่นและเอียงง่าย ทำให้หลุมเจาะไม่ได้แนวตั้งจริง
เจาะเจอสิ่งกีดขวาง เช่น ก้อนหิน เศษคอนกรีต
ถ้าเจอวัสดุแข็งในดิน ดอกเจาะอาจกระเด้งออกด้านข้าง ทำให้หลุมเอียงทันทีโดยที่คนงานอาจไม่ทันเห็น
วิธีแก้ไขเมื่อเจาะเอียง และวิธีป้องกันล่วงหน้า
ถ้าพบว่าเอียง ต้องหยุดงานทันทีแล้วเปลี่ยนตำแหน่งหลุมใหม่ ไม่ควรฝืนเจาะต่อ การป้องกันทำได้โดยการตั้งเครื่องให้ได้แนว ตรวจระดับทุกครั้งก่อนเริ่ม และทำการสำรวจดินเบื้องต้นเพื่อเลี่ยงสิ่งแข็งในดิน
ปัญหาเสาเข็มเจาะ “แตก” ระหว่างเทคอนกรีต
การเทคอนกรีตในหลุมเสาเข็มต้องทำต่อเนื่อง หากเกิดข้อผิดพลาด เสาเข็มมีโอกาส “แตก” จนกำลังรับน้ำหนักลดลง

ความเหลวของคอนกรีตไม่สม่ำเสมอ
คอนกรีตที่เหลวเกินหรือน้ำมากเกินอาจทำให้ผนังดินพัง หรือทำให้คอนกรีตแยกตัว จนเสาเข็มไม่เต็มหน้าตัด
ใช้เหล็กเสริมไม่ได้มาตรฐานหรือวางเหล็กผิดตำแหน่ง
หากเหล็กเบาหรือไม่ได้ระยะหุ้มคอนกรีต เสาเข็มอาจแตกร้าวเมื่อรับแรงกดในระยะยาว
วิธีแก้ไขเสาเข็มแตก และวิธีตรวจงานให้ปลอดภัย
กรณีเสาเข็มแตกรุนแรงต้องทำการเจาะหลุมใหม่เท่านั้น ส่วนการป้องกันคือควบคุมคอนกรีตจากโรงงาน เช็ก Slump Test และตรวจเหล็กเสริมก่อนเททุกครั้ง
ปัญหาเสาเข็มเจาะ “ตื้น ไม่ถึงชั้นดินแข็ง”
หนึ่งในปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเสาเข็มจะรับน้ำหนักได้น้อยลงทันที

ประเมินชั้นดินผิดพลาดตั้งแต่เริ่มสำรวจ
ถ้าไม่มีผลเจาะสำรวจดิน (Boring Test) การกะความลึกจากประสบการณ์อย่างเดียว อาจคลาดเคลื่อนสูงหลายเมตร
เครื่องเจาะกำลังไม่พอ ทำให้เจาะลึกต่อไม่ได้
เครื่องเจาะขนาดเล็กไม่สามารถเจาะผ่านดินเหนียวแข็งหรือดินชั้นลึก ทำให้เข็มสั้นกว่าที่ควรจะเป็น
วิธีแก้ไข เช่น เปลี่ยนตำแหน่ง–เปลี่ยนแบบเสาเข็ม
วิศวกรอาจให้เปลี่ยนจากเข็มเจาะเป็นเข็มสปัน หรือขยับตำแหน่งใหม่ให้หลีกชั้นดินแข็งที่เจาะไม่ผ่าน
สัญญาณที่ควรหยุดงาน และให้วิศวกรตรวจสอบทันที
หากระดับความลึกไม่เป็นไปตามแบบ หรือเจาะแล้วดินไม่แข็งขึ้นเลย ต้องหยุดงานทันทีและให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจอย่างละเอียด
ปัญหาโคลนไหล–น้ำพุ่งเข้ารูเจาะ
ในบางพื้นที่ดินอ่อนมากจนหลุมเจาะพัง หรือมีน้ำใต้ดินสูง ทำให้เกิดปัญหาเวลาเจาะหลุม

ดินอ่อนมาก ทำให้ปากหลุมพัง
ผนังดินอาจยุบตัว ทำให้หลุมกว้างหรือแคบเกินไป จนเสาเข็มไม่ได้ขนาดจริง
น้ำใต้ดินสูง จนดันให้ดินพุ่งกลับขึ้น
น้ำพุ่งจากก้นหลุมจะผลักวัสดุขึ้นมา ทำให้เทคอนกรีตไม่ได้ตามมาตรฐาน
วิธีแก้ เช่น ใช้ปลอกเหล็ก (Casing) ป้องกันการพัง
ปลอกเหล็กช่วยกันดินไหล กันน้ำพุ่ง และทำให้หลุมได้รูปทรงตามแบบ ถือเป็นวิธีป้องกันที่ปลอดภัยที่สุด
เช็กลิสต์ตรวจงานเสาเข็มเจาะที่เจ้าของบ้านต้องรู้

ตรวจขนาด–ความลึก–ระดับเหล็กเสริม
ต้องตรงตามแบบทุกจุด หากลึกไม่ถึงหรือเหล็กผิดตำแหน่ง ต้องแก้ไขก่อนเทคอนกรีต
ดูสลิปคอนกรีตและยี่ห้อปูนที่ใช้
เพื่อยืนยันว่าคุณภาพคอนกรีตเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
ขอรูปหรือวิดีโอจากผู้รับเหมาในทุกหลุม
เป็นหลักฐานสำคัญว่าเข็มทุกต้นมีความลึกจริง และเทคอนกรีตครบถ้วน
คำที่พบบ่อยเกี่ยวกับเสาเข็มเจาะ
1) เสาเข็มเจาะคืออะไร? ต่างจากเสาเข็มตอกอย่างไร
เสาเข็มเจาะคือเสาเข็มที่ ขุดหลุมแล้วเทคอนกรีตลงไปในที่หน้างาน ทำให้ไม่มีแรงสั่นสะเทือนเหมือนเสาเข็มตอก เหมาะกับงานในพื้นที่แคบหรือใกล้อาคาร แต่ต้องระวังขั้นตอนเจาะ–ตั้งเหล็ก–เทคอนกรีต เพราะผิดพลาดได้ง่ายกว่าแบบตอก
2) เสาเข็มเจาะลึกเท่าไหร่จึงจะปลอดภัย
ขึ้นอยู่กับสภาพดินแต่ละพื้นที่ โดยทั่วไปต้องเจาะจนถึง ชั้นดินแข็ง ซึ่งอาจอยู่ลึกตั้งแต่ 18–28 เมตร หรือมากกว่านั้น การกำหนดความลึกต้องอ้างอิงการสำรวจดิน (Soil Test) และคำแนะนำของวิศวกร
3) เสาเข็มเจาะเอียงเพราะอะไร
สาเหตุหลักคือเครื่องเจาะตั้งไม่ตรง เจอหินหรือเศษวัสดุในดิน หรือทีมงานควบคุมการเจาะไม่ละเอียด ทำให้แนวหลุมเบี่ยงออกจากแกน ควรแก้โดยหยุดงานและเปลี่ยนตำแหน่งหลุมใหม่ พร้อมตรวจ alignment ทุกครั้งก่อนเริ่มเจาะ
4) เสาเข็มเจาะแตกระหว่างเทคอนกรีตเพราะอะไร
เกิดจากคอนกรีตเหลวไม่สม่ำเสมอ ท่อเท (tremie) ยกขึ้นสูงเกินไปจนเกิดโพรง หรือเหล็กเสริมวางผิดตำแหน่งจนดันผิวหลุม แตกขยายเป็นโพรงทำให้เสาเข็มรับแรงไม่ได้ตามที่ออกแบบ
5) ต้องทำ Soil Test ก่อนเจาะเสาเข็มหรือไม่
ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการไม่สำรวจดินทำให้ประเมินความลึกผิด เจาะไม่ถึงชั้นดินแข็ง และเสี่ยงทรุดในอนาคต ค่า Soil Test ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาฐานรากภายหลัง
6) เสาเข็มเจาะใช้เวลาทำนานแค่ไหน
โดยทั่วไป 1 หลุมใช้เวลา 2–4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความลึกและสภาพดิน แต่ทั้งโครงการจะใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์ตามจำนวนหลุมและขนาดงาน
7) เสาเข็มเจาะทำนอกบ้าน/ในพื้นที่แคบได้ไหม
ได้ โดยเฉพาะเสาเข็มเจาะขนาดเล็กหรือไมโครไพล์ ซึ่งถูกออกแบบสำหรับพื้นที่จำกัด เช่น ในบ้าน ต่อเติมครัว หรือพื้นที่ที่เครื่องใหญ่เข้าไม่ได้
8) จะรู้ได้อย่างไรว่าเสาเข็มเจาะได้มาตรฐาน
ต้องขอตรวจเอกสารและหลักฐาน เช่น
– รายงานขนาด–ความลึกของหลุม
– ภาพหรือวิดีโอระหว่างเจาะและเทคอนกรีต
– สลิปคอนกรีตและยี่ห้อปูน
– รายละเอียดเหล็กเสริม
และควรมีวิศวกรควบคุมงานเซ็นรับรอง
9) เสาเข็มเจาะไม่ถึงชั้นดินแข็งต้องทำอย่างไร
ต้องหยุดงานทันทีเพื่อประเมินสาเหตุ จากนั้นเปลี่ยนตำแหน่งหลุม เพิ่มความลึก หรือเปลี่ยนชนิดเสาเข็มตามคำแนะนำวิศวกร เพื่อให้ได้กำลังรับน้ำหนักตามแบบ
10) เสาเข็มเจาะมีปัญหาน้ำไหลเข้ารูเจาะทำอย่างไร
ใช้ปลอกเหล็ก (Casing) รองปากหลุมเพื่อกันหลุมพังและกันน้ำพุ่งขึ้นขณะเจาะ น้ำใต้ดินสูงเป็นปัญหาที่ต้องจัดการตั้งแต่เริ่มวางแผนโดยผู้เชี่ยวชาญ
สรุปเสาเข็มเจาะทำให้บ้านแข็งแรงได้จริง ถ้าควบคุมงานถูกต้อง
เสาเข็มเจาะเป็นระบบฐานรากของบ้านเดี่ยวที่ดี แข็งแรง และเหมาะกับพื้นที่ดินอ่อน แต่ก็มีโอกาสเกิดปัญหาได้ง่ายหากขาดการควบคุมที่รัดกุม ตั้งแต่สำรวจดิน ตั้งเครื่องเจาะ ตรวจความลึก ไปจนถึงเทคอนกรีต เจ้าของบ้านจึงควรเลือกทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์และอุปกรณ์ครบ เพื่อให้เสาเข็มทุกต้นทำงานเต็มประสิทธิภาพ การประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงาน ช่วยป้องกันบ้านทรุดและลดโอกาสงบบานปลายได้มาก เป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด
แชร์บทความนี้